วิธีคำนวณความชันของเส้นอุปสงค์โดยใช้ตาราง

ผู้เขียน: Rachel Coleman
วันที่สร้าง: 28 มกราคม 2021
วันที่อัปเดต: 20 พฤศจิกายน 2024
Anonim
Price Offer Curve, Income Offer Curve, Demand Curve and Engel Curve (for Micro Theory Students)
วิดีโอ: Price Offer Curve, Income Offer Curve, Demand Curve and Engel Curve (for Micro Theory Students)

เนื้อหา

เส้นอุปสงค์เป็นกราฟที่ใช้ในทางเศรษฐศาสตร์เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาของผลิตภัณฑ์และอุปสงค์ กราฟนี้คำนวณโดยใช้ฟังก์ชันเชิงเส้นที่กำหนดเป็น P = a - bQ โดยที่ "P" คือราคาของผลิตภัณฑ์ "Q" คือปริมาณที่ต้องการสำหรับผลิตภัณฑ์และ "a" คือปัจจัยราคาพิเศษที่ ส่งผลต่อความต้องการของคุณ การใช้ตารางเป็นเรื่องง่ายที่จะหาความชันของเส้นอุปสงค์ผ่านสมการของเส้นอุปสงค์เชิงเส้นหรือสมการสูงสุดของสมการเชิงเส้น

การหาความชันโดยใช้ตารางกราฟอุปสงค์เชิงเส้น

ขั้นตอนที่ 1

สังเกตชุดของค่าสำหรับจุดหนึ่ง ๆ บนกราฟโดยใช้ข้อมูลในตาราง ตัวอย่างเช่นหากตารางระบุว่า ณ จุด (30, 2), Q = 30, P = 2 และ a = 4 ให้เขียนค่าเหล่านี้ลงในกระดาษเพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว


ขั้นตอนที่ 2

ป้อนค่าลงในสมการเส้นโค้งอุปสงค์เชิงเส้น Q = a - bP ตัวอย่างเช่นการใช้ค่าข้างต้นซึ่งได้รับจากตารางตัวอย่างให้ป้อน Q = 30, P = 2 และ a = 4 ในสมการ: 30 = 4 - 2b

ขั้นตอนที่ 3

แยกตัวแปร b จากด้านหนึ่งของสมการเพื่อหาความชัน ตัวอย่างเช่นผ่านพีชคณิตเราแปลง 30 = 4 - 2b เป็น 30 - 4 = 2b, -26 = 2b, -26 / 2 = b

ขั้นตอนที่ 4

ค้นหา "b" โดยใช้เครื่องคิดเลขหรือคำนวณด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่นการแก้สมการ -26 / 2 = b เราพบ b = 13 จากนั้นเราพบว่าความชันที่สอดคล้องกับพารามิเตอร์ชุดนั้นคือ -13

ใช้รูปแบบการสกัดกั้นเส้นโค้งกับตารางพิกัด

ขั้นตอนที่ 1

สังเกตค่า x และ y ของสองจุดในตารางพิกัดบนเส้นอุปสงค์ ในกรณีของเส้นอุปสงค์จุด "x" คือปริมาณที่ต้องการและจุด "y" คือราคาของผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้ระดับความต้องการนั้น

ขั้นตอนที่ 2

ป้อนค่าเหล่านี้ในสมการความชัน: ความชัน = รูปแบบ y / การเปลี่ยนแปลง x ตัวอย่างเช่นถ้าตารางรายงานว่า x1 = 3, x2 = 5, y1 = 2 และ y2 = 3 สมการเส้นโค้งจะเท่ากับ: ความชัน = (3 - 5) / (2 - 3)


ขั้นตอนที่ 3

แก้สมการเพื่อหาความชันของเส้นอุปสงค์ระหว่างจุดที่เลือกสองจุด ตัวอย่างเช่นถ้าความชัน = (3 - 5) / (2 -3) ดังนั้นความชัน = -2 / -1 = 2